"รู้ลึก รู้ทัน รู้จริง รู้ก่อน...ไม่โดนเขาหลอกให้ช้ำใจ"
"รอโหลดซักกะเดี๋ยว..ตะเอง"
ยินดีต้อนรับทุกๆท่าน . . . Welcome to . . .
PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554
20... นายกฯ ประเทศนี้ สงสัยแม่ม...อายุ 3 ขวบ
นายกฯ ประเทศนี้ สงสัยแม่ม...อายุ 3 ขวบ
By: สายลมรัก
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฟัง บุญระดม จิตดอน ทาง FM 101 เมื่อเช้าแล้วก็...
เฮ้อ...........เธออ่านข่าวว่า เมื่อวานนี้ท่านนายกฯ ของประเทศทร้วยส์ได้บอกกับนักข่าวว่า
"ใครมาว่าผม ดีแต่พูด จริงๆ พวกนั้นหนะ พูดสู้ผมไม่ได้ (ฮา) ก็เลยกล่าวหาว่า ผมดีแต่พูด"
เป็นคำตอบ ที่มาร์ค ใช้ตอบโต้ นักข่าวด้วยอาการฉุนเฉียวเล็กน้อย กับคำถามที่ว่า เขา(สังคม)หาว่ามาร์ค "ดีแต่พูด"
ผมฟังแล้ว ได้แต่นึกปลงๆ สังเวชใจ นิดๆ ปนเอ็นดู หน่อยๆ แล้วก็ได้แต่นึกในใจว่า อั้ยห่ะนี่ใครสั่งสอนมาแต่เด็ก (ว๊ะ)
ถึงได้ มีวุฒิภาวะ แบบ "เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ความรู้เจ้าัยังด้อยเร่งศึกษา เมื่อเติบใหญ่เจ้าจะได้ แย่งเขามา ไม่ต้องสนกติกาแต่อย่างใด"
ฟังแล้วผมรู้สึกเหมือนอยู่ในโรงเรียนอนุบาล มองดูเด็กๆ เวลา มันทะเลาะกัน แล้วก็ฟ้องผม หรือพยายามแก้ตัวว่า หนูไม่ผิด มันแหละผิดน๊ะ
* * * * *
มาร์ค คงลืม หรือไม่เข้าใจว่า ดีแต่พูดนั้น "คำจำกัดความ" หมายถึงอะไร
คำว่า "ดีแต่พูด" หมายถึง พูดดูดี มีหลักการ มีเหตุผล มีวิธีปฏิบัติ สัญญาว่าจะทำ แต่หากไม่ทำสิ่งที่ตัวเองพูดออกมานั้น คำพูด คำสัญญา ที่เคยเปล่งออกมา ก็จะไม่มีราคา ควรค่าใดๆ แก่การฟังอีกต่อไป
จึงเป็นที่มาที่ไปของคำว่า "ดีแต่พูด" ซึ่งเป็นคำเปรียบเทียบอย่างสุภาพ แต่หากเป็นภาษาบ้านๆ เขาจะเรียกว่า "ไอ้ตอแหล"
มาร์คคงลืมไปว่า ฉายาปีแรก ที่สื่อมวลชนตั้งให้มาร์ค โดยได้รับเห็นชอบ และเห็นด้วยจากประชาชน ทั่วประเทศ อันได้แก่
"หล่อหลักลอย" และ "ปฏิมากรรมน้ำลาย" มันไม่ได้มาด้วยโชคช่วย
เคยพูดอะไรไว้ เคยบอกอะไรไว้ เคยตอแหลอะไรไว้
มาร์ค จะทำหน้ามึนตาใสไปเรื่อยๆ แต่หากจนแต้มด้วยคำถามจริงๆ
มาร์คจะตอบสั้นๆ ว่า บริบท หรือสถานการณ์ มันเปลี่ยนไป (ฮา)
ก็กรูจะตอบแบบนี้อะ มีอะไรมั้ย อั้ยพวกแม่ยกหน้าโง่ (อันนี้มาร์คคงนึกในใจ)
เออสิว๊ะ... ถ้ากรูไม่โง่ กรูจะเป็นแม่ยกได้งัย เพราะการเป็นแม่ยกในเรื่องของรูปร่างหน้าตานั้น มีกะตังค์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องโง่ดักดานเป็นแบบชนิดพิเศษอีกด้วย
สื่อมวลชน จึงพร้อมใจกันส่งตำแหน่ง ตอแหลแห่งปี (ภาษาบ้านๆ) ให้อย่างเป็นเอกฉันท์ ทุกสำนัก
ปีนี้ พอเจอผู้หญิงตัวเล็กๆ ชูป้ายเข้านิด เจอฝ่ายค้านหยิกแกมหยอกเข้าหน่อย
ถึงขนาดตัวซี้ตัวสั่น บอกว่าก็พวกเอ็งพูด(แหล) สู้เค้าไม่ได้ ชิมิ ชิมิ ก็เลยอิจฉาเค้า (ฮา)
แม่ม...ฟังแล้วไม่ได้สำเหนียก เลยว่า "เขาด่าว่าเมิงแหล"
แทนที่จะแก้ความแหล ดันเจือกบอกว่า ก็ตัวเองแหลสู้เค้าไม่ได้เองนี้ฮ้...า กิ้ว ๆ ๆ
นี่แสดงว่า มาร์ค ภาคภูมิใจในความแหลได้โล่ ของตัวเองมาโดยตลอด
มาร์ค คงไม่เคยเห็นภาษิตไทยที่ว่า "คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว" เป็นแน่แท้
ถึงได้ออกมาแต๋วแตกขนาดนั้น
มาร์ค ไม่เคยสงสัยบ้างหรือว่า
ทำไมทักษิณ พูดกับประชาชนทุกวันอาทิตย์ นายกสมัคร พูดกับประชาชนทุกวันอาทิตย์ กับตนเองพูดกับประชาชนทุกวันอาทิตย์
ทำไมจำนวนประชาชนถึงสนใจฟังต่างกัน ราวฟ้ากับเหว
ทำไมยอดการฟังมาร์ค พูดในรายการ"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายอภิสิทธิ์" จึงเหลือแค่ 6 เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆที่ สั่งฉายหลายช่องพร้อมกันก็แล้ว เปลี่ยนพิธีกรก็แล้ว เปลี่ยนสถานที่ก็แล้ว หมดเงินกับการออกแบบจูงใจ ให้คนฟังไปตั้งเท่าไหร่
ทำไมยอดการฟังมันถึงได้สาละวันเตี้ยลงแบบนี้
นี่ถ้ามาร์ค เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของผม ผมจะบอกว่า "อั้ยเชี่ยยยยย....นี่เมิงยังไม่รู้ตัวอีกหรือ"
ที่เขาไม่ฟัง ไม่ใช่เพราะเมิงหล่อน้อยกว่าใครหรอก ที่เขาไม่ฟังใช่ว่าเสียงเอ็งหล่อสู้คนอื่นได้หรอก
แต่ที่เขาไม่ฟังหนะ ก็เพราะเมิงดีแต่พูด อย่างที่เขาด่ากันทั้งเมืองนั่นแหละ
คือฟังเมิงพูดแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไร ดูเหมือนเมิง พร่ำเพ้อ เพ้อเจ้อ หรือสำเร็จความใคร่ทางปากไปวันๆ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้เห็น
ยังมีหน้ามาเถียง
มาร์คเอ๋ย...เต็มที่เลยลูก...เอาเลย ลงไปชักดิ้นชักงอก็ได้
มะม่วงจำบ่ม ที่ท่านสมัครใช้เรียก มาร์ค อันนี้ของจริง วุฒิภาวะ หลายกรรม หลายวาระ แสดงให้เห็นตัวตนออกมาว่า
อั้ยห่ะนี่แม่ม...เด็กดื้อ แถมด้านได้ใจ จะดีอยู่อย่างก็ตรงมีความทะเยอทะยานสูง จนเกินเส้นไร้ยางอาย ไปสู่ความกระสัน...
อยากทำงานตัวซี้ ตัวสั่น ไม่สน กติกา จนชาติบ้านเมืองแตกแยกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แถมเข้ามาทำงานแบบ ดีแต่พูดเป็นหลัก...
แล้วจะเสนอตัวเข้ามาทำเชี่ยอาราย (ว๊ะ) อั้ยมาร์ค...
* * * * *
By: meditation
ภาษาไทยคำว่า "ดีแต่พูด" มาร์คตีความไม่ออกหรอก...เพราะมาร์คไม่ใช่สัญชาติไทย
"ดีแต่พูด"...หมายความว่า ดีอย่างอื่นไม่มีเลย...มีดีอย่างเดียวคือ พูด พูด พูด พูด...เท่านั้น!
และ ไอ้ที่ พูด พูด พูด พูด...นั้น มันก็หาดีไม่ได้เสียด้วย...เพราะ มันพูด เพ้อเจ้อ โกหก ตอแหล หลอกลวง ทั้งนั้น!
แต่มาร์คกลับตีความไปว่า..."ดีแต่พูด" หมายถึง"พูดดี"...ซะงั้น
"ดีแต่พูด" กับ "พูดดี"...ไม่เหมือนกันนะมาร์ค
แม้เพียงคำพูดเดียว แต่ "จริงใจ"...ก็เรียกว่า "พูดดี" แล้ว
ไม่ต้องไปเที่ยวท้าใครดีเบต...เพื่ออวดสำแดงว่าตัวเองพูดดี!...
* * * * *
By: ย่องมาเอง
"สำเร็จความใคร่ทางปากไปวันๆ" อันนี้ถูกต้องที่ซู้ดดดดดด
แต่ขอแก้ไขนิดได้ปะ...ที่ว่า "อยากทำงานตัวซี้ ตัวสั่น" น่ะ...มะช่ายน๊า
มันแค่อยากเป็น "นายกประเทศตอแหลแลนด์จนตัวสั่น" ซะมากกว่าล่ะม๊างงงงงงง...อิอิ
วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554
19... ทักษิณปราศรัย สนามหลวง, วงเวียนใหญ่
รณรงค์พี่น้อง"คนเสื้อแดง"77จังหวัด
วันเลือกตั้ง...เข้าคูหาเลือก ส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
ประกาศแล้ว! แบ่งเขตเลือกตั้ง 375 เขต กรุงเทพมหานคร ชิง 33 คน โคราช 15 คน ไม่มี"จ.บึงกาฬ"
วันที่ 24 มี.ค.2554 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัด สำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปครั้งแรกภายหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ.2554
ทั้งนี้ ราษฎรทั่วราชอาณาจักร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 มีจำนวน 63,878,267 คน จำนวนราษฎรโดยเฉลี่ย 170,342 คน ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนึ่งคน
จังหวัดที่มีเขตเลือกตั้งและส.ส. มากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 33 คน นครราชสีมา 15 คน อุบลราชธานี 11 คน เชียงใหม่ 10 คน ขอนแก่น 10 คน นครศรีธรรมราช 9 คน และ บุรีรัมย์ 9 คน
ข้อสังเกตคือ ประกาศดังกล่าว ลงนาม ณ วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2554 โดยนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ไม่ปรากฏชื่อ จังหวัดบึงกาฬ โดยส.ส. บึงกาฬ ยังรวมอยู่ในจังหวัดหนองคายที่มี ส.ส. 5 คน
เปิดดูการประกาศแบ่งเขตได้ที่นี่...
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2554/A/019/29.PDF
วันที่ 3 มีนาคม 2549 พรรคไทยรักไทย จัดการปราศรัยใหญ่ ที่ท้องสนามหลวง โดย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรค ขึ้นปราศรัย ในเวลา 20.00 น. มีผู้เดินทางมาฟังปราศรัย เป็นจำนวนหลายแสนคน จนเต็มท้องสนามหลวง และล้นออกไปถึง ถนนราชดำเนินกลาง ใกล้ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
วันที่ 26 มีนาคม 2549 พรรคไทยรักไทย จัดการปราศรัยย่อย ที่วงเวียนใหญ่ โดย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรค ขึ้นปราศรัย ในเวลา 20.00 น. มีผู้เดินทางมาฟังปราศรัย เป็นจำนวนหลายแสนคน
ฉบับเต็ม.wmvโหลดที่นี่...
ฝากคุณทักษิณ ชินวัตร...
จากข่าวนี้ / ญาติ’วีระ’จะขอร้อง’ทักษิณ’ช่วย
วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554
18... สำหรับคนที่ยังคงเกลียดคุณทักษิณอยู่ แต่ยังไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด
สำหรับคนที่ยังคงเกลียดคุณทักษิณอยู่ แต่ยังไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด
By: ทวดเอง
หลังจากเวลาผ่านมาร่วม 5 ปี ความจริงหลายเรื่องเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงอยากขอร้องคุณๆทั้งหลายที่ยังคงเกลียดคุณทักษิณ อาจเป็นเพราะหลงเชื่อกับการยุยงปลุกปั่น หรือเกลียดไปตามกระแส กรุณาใช้จิตใจของความเป็นธรรม แล้วรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นจากการรัฐประหารด้วยเหตุผล 4 ประการ
1.มีการทุจริตคอรัปชั่นอย่างมโหฬาร
2.เกิดความแตกแยกขึ้นในหมู่ประชาชน
3.มีการแทรกแซงองค์กรอิสระ
4.มีการล่วงละเมิดสถาบัน
อยากให้คุณๆทั้งหลายลองไตร่ตรองตามผมมาเลยนะครับ
จากข้อ 1 ที่ว่าสมัยคุณทักษิณมีการคอรัปชั่นอย่างมโหฬาร แล้วตอนนี้ล่ะครับ หลังจากได้รัฐบาลที่บอกว่ามือสะอาด แล้วการทุจริตคอรัปชั่นหมดไปแล้วหรือเปล่าครับ จากข่าวสารที่ออกมาแต่ละโครงการล้วนแต่มีการทุจริตกันอย่างโจ๋งครึ่ม แล้วเราจะปล่อยให้เป็นแบบนี้หรือครับ
ทำไมบุคคลที่รังเกียจการคอรัปชั่นในตอนนั้น ตอนนี้จึงหายกันไปหมด นั่นเป็นเพราะตอนนี้เป็นพวกเดียวกันทำ ใช่หรือไม่
ถ้าอย่างนั้นข้อกล่าวหานี้จึงน่าจะเป็นเพียงการแย่งชิงอำนาจมาครอบครอง เพราะรู้ว่าขืนใช้การเลือกตั้ง คงยากที่จะชนะใจประชาชนได้ แล้วพวกเราล่ะครับ ยังยอมให้กลุ่มคนกลุ่มนี้ได้อำนาจโดยมองข้ามสิทธิของพวกเราอย่างนั้นหรือ?
จากข้อ 2 เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน ถ้าเรามองไปถึงการเลือกตั้งในปี 2548 ตอนนั้นคุณทักษิณได้คะแนนอย่างถล่มทลาย ประเทศก็ยังไม่มีความแตกแยกกันสักนิด
ยังจำที่ทุกคนใส่เสื้อเหลืองถวายความจงรักได้หรือเปล่าครับ คลิกที่นี่... และ คลิกที่นี่...
ยังจำถึงการร่วมแรงร่วมใจจัดประชุมเอเปคได้หรือเปล่าครับ
ยังจำถึงการพับนกสันติภาพเพื่อส่งไปให้กับพี่น้องจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้หรือเปล่าครับ
ตอนนั้นพวกเรามีแต่ความสามัคคีกลมเกลียวกัน แล้วทำไมจู่ๆจึงมีความแตกแยกล่ะครับ
ความแตกแยกเกิดขึ้นตอนไหน ถ้าไม่ใช่เพราะการร่วมมือของพวกที่อยากได้อำนาจ ทำกันปลุกระดมสร้างกระแสความเกลียดชังต่อรัฐบาลในยุคนั้น โดยไม่เคยคำนึงถึงเสียงส่วนใหญ่ที่ยังคงรักและศรัทธา อย่างนี้แล้วจะไม่ให้เกิดความแตกแยกได้อย่างไรกัน แล้วเราจะยอมให้กลุ่มคนเหล่านี้ สร้างความแตกแยกให้กับคนในสังคมเพื่อขึ้นสู่อำนาจอย่างนั้นหรือครับ
จากข้อ 3 มีการแทรกแซงองค์กรอิสระ อันนี้ยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้งเลยครับ เพราะตอนนี้เราจะเห็นได้ว่า องค์กรอิสระจะมีความอิสระได้อย่างไร จะมีความเป็นกลางได้อย่างไร ในเมื่อองค์กรต่างๆเหล่านี้ได้เลือกข้างไปแล้ว เลือกข้างที่ไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับประชาชนเสียด้วย ดังนั้นเราจึงได้เห็นถึงความศรัทธาที่เสื่อมถอยไปเสียทุกองค์กรอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับสังคมไทยมาก่อน อย่างนี้แล้วผมจึงคิดว่า ข้อนี้เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อนำสู่การทำรัฐประหารเท่านั้นเอง
และข้อ 4 ที่ว่ามีการล่วงละเมิดสถาบันนั้น หลังจากวันนั้นถึงวันนี้ นอกจากคุณทักษิณถูกยกฟ้องในข้อหาหมิ่นสถาบันแล้ว ยังไม่เห็นมีคดีใดที่เกี่ยวกับคุณทักษิณในเรื่องการละเมิดสถาบันแม้แต่คดีเดียว แม้แต่เรื่องราวของวัดพระแก้ว ดังนั้นข้อนี้จึงเป็นเพียงข้ออ้างที่นำมาเพื่อทำรัฐประหารเช่นกัน
แล้วจากนั้น หัวหน้ารัฐประหารอย่างคุณสนธิยังกล้าออกมาพูดถึงแผนบันได 4 ขั้น เพื่อทำลายพรรคการเมืองที่มีประชาชนให้การสนับสนุนมากที่สุดอีกด้วย เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยครับทุกๆท่าน เรายอมกันถึงขนาดนี้เชียวหรือครับ แล้วตอนนี้หัวหน้าคณะรัฐประหารในวันนั้น ได้มาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเสียด้วย แล้วพรรคการเมืองพรรคนี้จะครองความได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นหรือไม่ เพราะหลายองค์กรอิสระในตอนนี้ ล้วนแต่ผ่านการจัดตั้งจากหัวหน้าพรรคตอนนี้ พวกท่านยังคิดว่านี่เป็นความยุติธรรมในสังคมไทยอีกหรือครับ
ยังมีข้อกล่าวหาอีกมากมาย เช่น
การขายสัมปทานดาวเทียม ก็กล่าวหาว่านั่นเป็นการขายชาติ แล้วตอนนี้ผ่านไปก็หลายปี ก็ยังไม่เห็นรัฐบาลไหนจะซื้อชาติคืนสักที มีแต่ปล่อยข่าว ทำให้ตลาดหุ้นพุ่ง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าใครได้ประโยชน์ในครั้งนี้
การขายกิจการของคุณทักษิณ กลายเป็นจริยธรรมของนายกฯที่จะต้องเสียภาษี แม้กฎหมายจะไม่ได้กำหนดไว้ก็ตาม แล้วตอนนี้ล่ะครับ ภาษี 6 หมื่นกว่าล้านของบริษัทเอกชนต่างชาติ รัฐบาลกลับทำหน้าที่คอยแก้ข้อกล่าวหาให้ จะบอกว่าไม่เกี่ยวก็ไม่ได้นะครับ เพราะการชี้แจงในการอภิปรายครั้งนี้ก็ยังไม่เคลียร์ ทำกันถึงขนาดนี้แล้ว ทุกท่านยังคิดว่าความเป็นธรรมอยู่ตรงไหนกันแน่ครับ
ส่วนที่น่าขันที่สุดก็คือเรื่องคุณทักษิณจ้างคนบ้าทุบศาลพระพรหม เรื่องอย่างนี้ก็ยังมีคนเชื่อ ทั้งๆที่ทุบกันตอนกลางคืน รุ่งขึ้นคุณสนธิ ลิ้มฯก็รู้สาเหตุแล้ว ยังกับเป็นคนจ้างทุบเองซะอีก แต่ก็ยังมีคนเชื่อ ผมอยากจะบ้าตาย
ส่วนตัวผมกลับมองว่าคุณทักษิณถ้าจะผิดที่ทำให้เกิดการรัฐประหารก็มีเพียง 3 ข้อใหญ่เท่านั้นเอง
1.มัวแต่ ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย คิดว่าผู้สร้างความแตกแยกในชาติ เป็นเพียงคนที่มีความคิดเห็นต่างทางความคิด แล้วก็จะแก้ปัญหาตามแนวทางประชาธิปไตย โดยปล่อยปะละเลยให้มีความสร้างความแตกแยกในชาติ โดยไม่ดำเนินอย่างเด็ดขาด จึงทำให้เป็นข้ออ้างให้ทำการรัฐประหารสำเร็จ นำพาประเทศสู่วิกฤติจนถึงทุกวันนี้
2.การป้องกันไม่ให้เหล่าข้าราชการมีโอกาสโกงกินน้อยลง ไม่ว่าจากคอรัปชั่นหรือคอมมิชชั่นที่เคยได้ในอดีต โดยลดอำนาจการสั่งซื้อ สั่งจ้างของข้าราชการประจำ ให้น้อยลง และเพิ่มอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนองค์กรภาคประชาชนมีอำนาจมากขึ้น เช่น ลดงบประมาณกองทัพ เพิ่มงบประมาณของ อบต. อบจ. และ กองทุนหมู่บ้าน ให้ประชาชนตัดสินใจแก้ไขปัญหาของตัวเองได้
3.การบริหารด้วยความรวดเร็วฉับไวตามฉบับนักธุรกิจที่อยากเห็นผลเร็ว จึงทำให้ขัดผลประโยชน์ต่อพวกธุรกิจสีเทา สีดำทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพวกพ่อค้ายาเสพติดก็ดี พวกเจ้ามือหวยใต้ดินก็ดี หรือแม้กระทั้งกลุ่มอิทธิพลที่หากินกับการเก็บส่วย เก็บเงินค่าคุ้มครอง ซึ่งล้วนแต่สร้างความเกลียดชังให้กับคนกลุ่มนี้
ดังนั้นจึงได้เกิดการรวมตัวของฝ่ายสูญเสียอำนาจ ฝ่ายที่สูญเสียผลประโยชน์ ฝ่ายที่อยากมีอำนาจ และประชาชนที่ถูกปลุกปั่นจนเกิดความเกลียดชัง อันนำไปสู่การเกิดรัฐประหาร ทั้งๆที่ข้อผิดพลาดของคุณทักษิณทั้ง 3 ข้อนั้น ล้วนแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ขนาดนี้แล้ว พวกท่านนอกจากไม่ช่วยปกป้องคนทำประโยชน์ให้กับพวกเรา กลับเห็นดีเห็นงามกับฝ่ายต่อต้านอีกหรือครับ แบบนี้ไงครับ ตอนนี้เราจึงหาคนเก่ง คนมีความสามารถมาบริหารประเทศไม่ได้สักที ต้องปล่อยให้ประเทศกลายเป็นสนามเด็กเล่น ปล่อยให้เด็ก 2 คนเล่นกันอย่างสนุกสนาน ส่วนประชาชนอย่างเราๆก็ได้แต่หวานอมขมกลืนกับภาพของคนดีที่กินไม่ได้อย่างนี้ไงครับ
นี่เป็นเศษเสี้ยวก่อนเกิดการรัฐประหาร ที่คุณทักษิณถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม เพราะถ้าคุณทักษิณผิด ตอนนี้คนที่กระทำเช่นเดียวกับคุณทักษิณ หรือซ้ำร้ายกว่าสมัยคุณทักษิณ ก็ควรจะผิดด้วย ไม่ใช่เลือกที่รักมักที่ชังเฉกเช่นปัจจุบัน แล้วเราจะหาความถูกต้องในสังคมได้อย่างไร
ทั้งนี้ทั้งนั้นเรายังไม่ได้พูดถึงสิ่งคุณทักษิณทำคุณประโยชน์ต่อประชาชาติมากมายสมัยที่ดำรงตำแหน่ง และเป็นนายกฯคนแรกของประเทศไทยที่มีคนรักและศรัทธามากที่สุด
ดังนั้นผมจึงอยากถามพวกท่านว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังครับ ที่จะลองมองหาความเป็นธรรม ความถูกต้อง แล้วก็มองตัวตนที่แท้จริงของคุณทักษิณ ที่ไม่ใช่เกิดจากการสร้างภาพด้านมารร้ายของประเทศจากกลุ่มที่ต้องการปล้นชิงอำนาจจากท่าน
แต่ถ้าพวกท่านยังคิดว่าเหตุผลยังไม่เด่นชัด พอที่จะทำให้ทุกๆท่านคล้อยตามได้ล่ะก็ ไม่เป็นไรครับ วันหลังผมจะกลับมาพูดถึงความอยุติธรรมที่คุณทักษิณได้รับหลังจากเกิดการรัฐประหารอีกที ซึ่งก็มีมากมายเช่นกัน เพื่อให้พวกท่านได้เห็นรับฟังข้อมูลอีกด้าน เป็นแนวทางในการตัดสินใจอีกที
สุดท้ายก็อยากกล่าวคำขอบคุณต่อทุกๆท่าน ถ้าทุกท่านยังอุตส่าห์อ่านได้ถึงบรรทัดนี้
สำหรับคนที่ยังคงเกลียดคุณทักษิณอยู่ แต่ยังไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด 2
By: ทวดเอง
ผมรู้สึกมีกำลังใจอย่างท่วมท้น ที่มีคนนำกระทู้แรก “สำหรับคนที่เกลียดทักษิณ” ไปโพสท์ที่ เอ็มไทย แล้วได้รับผลตอบรับมาดีพอสมควร ทำให้เป็นแรงกระตุ้นให้ผมต้องเขียนกระทู้ต่อเป็นภาคสองนี้ขึ้นมา เพียงแต่วันนี้ผมจะเขียนเรื่องความยุติธรรมหลังเกิดรัฐประหารนะครับ
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวว่า ข้อเขียนของผมชิ้นนี้ (ผมจะไม่ขอเรียกว่าบทความนะครับ) อาศัยจากความทรงจำ ดังนั้นตัวเลขต่างๆอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง ก็ขอให้อภัยด้วยนะครับ แต่เรื่องราวต่างๆล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่การคิดไปเอง ไม่ใช่มีใครเล่าให้ฟัง ไม่ต้องอาศัยข้อมูลเชิงตื้นหรือเชิงลึกอะไร แล้วให้ทุกๆท่านพิจารณาเอาเองก็แล้วกันนะครับว่า ที่พวกคุณเกลียดคุณทักษิณนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่
เรามาเริ่มต้นก่อนเลยนะครับ ก็คงไม่หนีเรื่องการประมูลที่รัชดา ทั้งที่มีการสอบถามไปยังกฤษฎีกาแล้วว่าซื้อได้หรือไม่ ทั้งๆที่หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็บอกว่าซื้อได้ คนขายก็ยอมขาย เงินที่จ่ายก็เป็นเงินบริสุทธิ์ การซื้อก็ผ่านการประมูลอย่างยุติธรรม และก็เป็นการซื้อที่เปิดเผย แต่สุดท้ายการซื้อก็กลายเป็นโมฆะ นั่นหมายความว่าไม่มีการซื้อขาย แต่สุดท้ายคุณทักษิณกลับต้องติดคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา ทั้งที่ไม่มีผู้เสียหายในกรณีดังกล่าว
แต่กรณีบุกรุกที่ป่าสงวน ทั้งที่ทำความเสียหายกับป่าสงวน และเป็นการยึดครองหลายปี แต่อัยการกลับสั่งไม่ฟ้อง เพราะขาดเจตนา นั่นเป็นเพราะอะไรกันหรือครับ การทำผิดกฎหมายทั้งที่ไม่รู้หรือขาดเจตนา ก็ไม่ผิดจนไม่สั่งฟ้องก็ได้อย่างนั้นหรือครับ แค่คืนของกลางก็เป็นการจบเรื่องอย่างนั้นหรือครับ
การคืนที่ สปก.ที่ภูเก็ตก็เช่นกัน เป็นการทุจริตโดยมิชอบ นำที่หลวงที่ควรจะให้กับเกษตรกรผู้ยากไร้มาให้กับนักการเมืองที่มีฐานะ อย่างน้อยก็ต้องทำเอกสารเท็จแน่นอน เรื่องอย่างนี้ก็แค่คืนที่ก็จบอย่างนั้นหรือครับ แล้วผลประโยชน์ที่ได้รับระหว่างคดียังไม่สิ้นสุดล่ะครับ ทำไมจึงไม่ต้องติดคุกบ้าง พวกคุณไม่แปลกใจกันบ้างหรือครับ แล้วทั้ง 3 เรื่องดังกล่าวล้วนเกี่ยวกับที่ดินของหลวงทั้งสิ้น แต่ทำไมมีคนติดคุกเพียงคนเดียว แถมเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นกับการซื้อขายในครั้งนั้น แถมไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงการฉ้อฉลเสียด้วย นอกจากอาจจะทำให้ผู้ประมูลรายอื่นไม่กล้าประมูลแข่ง แค่“อาจจะ”ก็ทำให้คนต้องติดคุกแล้วหรือนี่?
ประเด็นต่อมาก็มาถึงการยึดทรัพย์เกี่ยวกับการแก้กฎหมายเพื่อเอื้อธุรกิจของตัวเอง เรื่องนี้ผมคงจะไม่คุยกันในประเด็นของข้อกฎหมายนะครับ เพราะมีหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นมากมายในช่วงนั้น มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพียงแต่มีข้อคิดอยู่ว่า ช่วงหลังของการตัดสินคดีเกี่ยวกับการเมือง มักจะมีข้อถกเถียงของเหล่านักกฎหมายอยู่ร่ำไป นั่นเพราะอะไรหรือครับ ใช่เพราะความศรัทธาของกระบวนการยุติธรรมบ้านเราเสื่อมถอยจริงหรือเปล่าครับ ส่วนประเด็นที่ผมสงสัยก็คือ การแก้กฎหมายของคุณทักษิณ ทำให้รัฐเสียประโยชน์จริงหรือไม่ ในช่วงนั้น รัฐเก็บภาษีได้น้อยเพราะกฎหมายฉบับนั้นหรือเปล่า แล้วธุรกิจแบบเดียวกันไม่ว่าจะเป็น ดีแทก ทรูมูฟ ก็ได้ผลประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ กลับไม่ต้องเสียอะไรเลยอย่างนั้นหรือครับ แล้วตอนนี้มีการแก้กฎหมายให้กลับไปเป็นอย่างเดิมแล้วหรือไม่?
ส่วนการเอื้อประโยชน์ในปัจจุบัน กับเป็นการได้ประโยชน์จากการจัดซื้อจัดจ้างของบริษัทในเครือนักการเมืองกลับไม่ผิดอย่างนั้นหรือครับ การยกฟ้องบริษัทต่างชาติในกรณีภาษีบุหรี่ 68,000 ล้าน ภายหลังจากมีการเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องไปประชุมกัน แบบนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วๆไปหรือครับ อีกทั้งเรื่องปลากระป๋องเน่า นมบูด เรื่องเหล่านี้เป็นที่ประจักษ์ว่าทุจริตจริง ขนาดใช้กรรมการพวกเดียวกันตรวจสอบกันเอง และแม้จะได้คนผิดที่เป็นพวกตัวเล็กๆก็ตาม การไล่ออกจากสมาชิกพรรคหรือการย้ายตำแหน่งหน้าที่ผู้ที่กระทำความผิด โดยไม่ต้องยึดทรัพย์หรือเรียกร้องค่าเสียหายคืน นี่คือความยุติธรรมอย่างนั้นหรือครับ
แล้วก็มาถึงเรื่องการยุบพรรค แค่เชื่อได้ว่า พรรคหนึ่งมีการจ้างคนมาลงเลือกตั้งก็ถึงขึ้นยุบพรรค
ส่วนอีกพรรคหนึ่งจ้างคนไม่ลงเลือกตั้ง กลับไม่ยอมเชื่อซะงั้น เลยไม่ต้องยุบพรรค
เพียงแต่มีข้อสงสัยว่า เมื่อรัฐธรรมนูญปี 40 ถูกฉีกไป แล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมา จากนั้นอาศัยรัฐธรรมนูญใหม่มาตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคนั้น มีความชอบธรรมหรือไม่ เราจะถือเป็นบรรทัดฐานต่อไปในอนาคตหรือไม่ ต่อไปถ้าเราไม่ชอบการกระทำใดๆ ที่ไม่มีในกฎหมาย แล้วเราค่อยแก้กฎหมาย เพื่อจะเอาผิดย้อนหลังก็ได้อย่างนั้นหรือครับ
และที่น่าเจ็บปวดกว่านั้นก็คือ ภายหลังมีคนออกมายอมรับว่ามีการรับจ้างให้ลงเลือกตั้งจริง แต่เป็นพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ไม่ต้องนำกลับมาพิจารณาใหม่ ยอมให้การลงโทษยุบพรรคที่มีประชาชนเลือกมาถึง 14 กว่าล้านเสียง เพราะการใส่ร้ายของพรรคตรงข้าม ยอมให้กรรมการพรรคที่เป็นตัวแทนของคน 14 กว่าล้านเสียง ต้องเว้นวรรคการเมืองโดยอาจจะไม่ผิดกฎหมายการเมืองก็เป็นได้ และเรายังไม่ต้องการทราบความจริงหรือครับว่า ตกลงการยุบพรรคไปนั้นถูกต้องหรือไม่ ปล่อยเลยตามเลยอย่างนั้นหรือครับ ถึงแม้ ท่าน กกต.จะออกมาบอกว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ แล้วเราก็ไม่สืบเสาะหาความจริงในเรื่องนี้ อย่างน้อยควรจะหาคนผิดมาลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นการพูดจริงหรือกล่าวให้ร้ายก็ตาม แต่ถ้าเป็นการพูดจริง ถึงแม้จะแก้ไขพรรคที่ถูกยุบไปไม่ได้ แต่พรรคที่ใช้วิธีแบบนี้ ทำให้พรรคการเมืองพรรคใหญ่ถูกยุบไม่ต้องรับผิดชอบอย่างนั้นหรือครับ นี่คือความยุติธรรมแบบไหนกันครับ
ต่อมายุบพรรคพลังประชาชน ทั้งที่ยังขาดการให้คำของพยานอีกเป็น 100 ปาก ทำไมจึงรีบยุบพรรคกันอย่างรวดเร็ว
ส่วนอีกพรรค ใช้เวลากันเป็นปี สุดท้ายกลับยกฟ้อง เพราะหมดอายุความบ้างละ นายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ได้ออกความคิดเห็นบ้างล่ะ แค่นี้ก็รอดจากการยุบพรรค โดยปล่อยให้สังคมคลางแคลงใจกับความผิดของพรรคนั้นๆต่อไป
กกต.ชุดก่อน แค่หันหลังให้กับคูหา ก็ทำให้การเลือกตั้งนั้นเป็นโมฆะ กกต.ติดคุก ทั้งๆที่ไม่มีผลอะไรกับการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะหันหน้าหันหลังหันตะแคง และถ้าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าไม่มีการเลือกตั้ง แล้วเหตุใดจึงยังมีการยุบพรรคเพราะทำผิดกฎหมายเลือกตั้งอีก นี่ผมก็ยังงงๆอยู่
ส่วน กกต.ปัจจุบัน เยื้อคดีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งถึง 2 ข้อหา จนหมดอายุความ เป็นเหตุให้ถูกยกฟ้อง กลับไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แล้วล่าสุดยังออกมาพูดถึงเรื่อง การใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า อันเป็นเหตุให้มีการขนคนไปเลือกตั้ง นั่นแสดงว่า กกต.ก็รู้อยู่เต็มอกว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมามีการกระทำที่ทุจริตผิดกฎหมายการเมือง ซึ่งควรเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะจับผู้กระทำความผิด แต่ก็ปล่อยให้ผ่านไป แล้วค่อยจะมาคิดแก้ไขในการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ ไม่รู้ว่าพวกท่านฟังดูแล้ว จะตลกเหมือนผมหรือไม่ครับ เพราะการทำผิดแบบนี้ มันมีผลความได้เปรียบอย่างชัดเจนที่สุด กกต.กลับไม่ต้องรับผิดชอบอะไร นี่ก็อีกหนึ่งความแตกต่างของสังคมยุคนี้ ที่อีกฝ่ายทำอะไรก็ผิดตลอด ส่วนอีกฝ่ายทำอะไรก็ไม่ผิด
แล้วยังมีเรื่องราวที่แปลกประหลาด มหัศจรรย์มากมายที่เกิดขึ้น อย่างเช่น กกต.ชุดก่อน ไม่ยอมลาออก เพราะเห็นแก่ประเทศชาติ ก็ถูกประณามว่าอย่างหนา ยังจำได้ไหมครับ สุดท้ายก็ต้องพึ่งกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้คนเหล่านี้ต้องออกจากการเป็น กกต.
แต่ กกต.ชุดนี้ ทนความกดดันจากฝ่ายใดก็ไม่รู้ คิดจะลาออก กลับกลายเป็นว่า จะหนีเอาตัวรอด โดยไม่ห่วงประเทศชาติ อย่างนี้มันแปลกไหมล่ะ พี่น้องงงงงงงงงง
แล้วที่มี กกต.คนหนึ่งออกมาระบุว่า ถึงแม้พรรคหนึ่งได้รับเสียงข้างมากเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ก็ต้องถูกยุบพรรคอีก นี่เป็นการตั้งธงล่วงหน้ากันขนาดนี้แล้วหรือครับ เป็นอันว่า ถ้าพรรคนี้เป็นฝ่ายค้าน ก็อยู่ต่อไป แต่ถ้าได้เป็นรัฐบาล ฮึ่ม......ยุบมันซะเลย อย่างนี้หรือครับ คือ ความยุติธรรม
ยังมีอีกมากมายนะครับเกี่ยวกับข้อกล่าวหาคุณทักษิณ แต่ที่น่าแปลก มีอีกหลายข้อหา ที่แม้จะมีคุณทักษิณเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่คนอื่นๆที่ถูกฟ้องในคดีเดียวกัน พอกลับข้างเท่านั้นเอง ทุกคดีต้องยกฟ้องกันหมด นอกจากยกฟ้องไปแล้วนั้น กลับไปร่วมเป็นรัฐบาล สิ่งดีๆก็ตามมาตลอด แม้แต่ปัญหาการทุจริตหนักยิ่งกว่าสมัยอยู่กับคุณทักษิณเสียอีก อย่างนี้กลับไม่เป็นไร ทุกท่านเห็นหรือยังครับ ตกลงว่าใช่คุณทักษิณโกงจริงหรือเปล่ากันแน่
จากข้อเขียนนี้ ผมคงไม่หวังให้ทุกท่านที่เกลียดคุณทักษิณให้หันกลับมารักคุณทักษิณได้ แต่ผมหวังว่า สำหรับผู้รักความเป็นธรรมทุกท่าน เมื่อได้มองเห็นภาพรวมของความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับคุณทักษิณและครอบครัวแล้ว ให้มองเห็นถึงความอยุติธรรม ถ้าไม่มีความยุติธรรมแล้ว ประเทศไทยจะมีประชาธิปไตยได้อย่างไร
มีบางคนถามผมว่า ไหนบอกก้าวข้ามทักษิณแล้วไง สุดท้ายก็เห็นพูดแต่ทักษิณ ผมก็อยากบอกว่า มันคนละเรื่องเดียวกันครับ การที่ยกคุณทักษิณมาพูดถึง เพราะใครๆก็รู้จัก และก็มีหลายเรื่องที่สังคมรับรู้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นตัวอย่างของคนไทยคนหนึ่งที่ถูกความอยุติธรรมโถมใส่ทุกวิถีทาง แล้วไม่ให้ผมยกคุณทักษิณมาเป็นกรณีศึกษา แล้วจะให้ผมนำตาสี ตาสา ยายมีและยายมา (สำหรับยายมีต้องมีและด้วย ไม่งั้นจะไปพาดพิง login ยายมียายมาเข้า) ซึ่งไม่มีใครรู้จัก เดี๋ยวก็จะหาว่าผมนั่งเทียนยกเมฆมาอีก ซึ่งคงลำบากสำหรับผมที่จะมานั่งอธิบาย ทุกท่านเข้าใจแล้วหรือยังครับ
ส่วนบางท่านพูดถึงการทำรัฐประหารที่คุณทักษิณแล้วมีคนให้ดอกไม้แสดงความยินดี ซึ่งผมก็อยากบอกว่า ประเทศไทยเป็นอะไรที่ง่ายมากนะครับ แค่หาคนนำดอกไม้มาให้ เป็นความชอบธรรมแล้วอย่างนั้นหรือครับ อย่าลืมนะครับ คนไทยไม่ใช่แบบมาฆบูชาสักหน่อย ที่พระสงฆ์มารวมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แต่สำหรับเรามีการนัดหมายแน่ๆเลยครับ เพียงแต่ว่านั่นเป็นการแสดงความยินดีกับพวกรัฐประหารหรือว่าแสดงความยินดีกับตัวเองที่ได้อำนาจกลับคืนมาหรือเปล่า
แล้วยังมีบางท่านภูมิอกภูมิใจกับต่างประเทศที่บอกว่ารัฐประหารในไทย เป็นรัฐประหารที่สุดแสนคลาสสิกนั้น ผมกลับมองว่า นั่นเป็นการดูถูกดูแคลนคนไทยต่างหาก ดูถูกว่าคนไทยยังด้อยพัฒนาถึงระบอบประชาธิปไตย เพราะถ้าเขาชื่นชมเราด้วยใจจริง เขาคงต้องเคารพความต้องการของคนไทยสิครับ เขาคงไม่กดดันให้คณะรัฐประหารรีบคืนประชาธิปไตยเร็วๆหรอกครับ และยิ่งน่าอายที่เขาถึงกับบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนประชาธิปไตยของเรา นั่นใช่แสดงให้เห็นว่า ประเทศของเรายังต้องมีการเรียนรู้กับประชาธิปไตยหรือเปล่า?
สุดท้ายเสียที ผมก็อยากฝากข้อคิดให้กับพวกท่านที่ยังคงเกลียดคุณทักษิณว่า ตัวเองเคยคิดหรือเปล่า ทำไมจึงเกลียดคุณทักษิณ นายกฯที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศไทยมากมายคนนี้ จะเป็นเพราะการทุจริตก็คงไม่ใช่ เพราะตอนนี้ทุจริตยิ่งเสียกว่า จะเป็นเพราะการขายชาติ ก็ไม่น่าใช่อีก เพราะชาติเราก็ยังคงเป็นชาติของเรา จะว่าเป็นต้นเหตุของความแตกแยกเพราะทักษิณคนเดียวก็ไม่น่าใช่อีก เพราะทุกขบวนการทุกองค์กรในประเทศไทยต่างรวมหัวกันสร้างปัญหาให้กับคุณทักษิณเพียงคนเดียวต่างหากครับ ดังนั้นอยากให้พวกท่านลองคิดดู ความเกลียดของทุกท่านเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่ ใช่เพราะ...
การสร้างภาพเป็นมารร้ายความเป็นมารร้าย ทำแต่เรื่องแย่ๆเพียงอย่างเดียว จนคุณเกลียดอย่างนั้นหรือเปล่า?
ซึ่งผิดกับอีกคน ที่ทำอะไรก็ไม่เคยผิด เพราะภาพของความเป็นเทวดาที่พวกเขาพยายามสร้างให้เห็นหรือเปล่า?
ดังนั้นผมจึงคิดว่าตราบใดที่เรายังหลงใหลกับภาพที่เขาสร้างไว้ล่ะก็ ต่อให้ตั้งคณะกรรมการอีกกี่ร้อยชุด ก็คงไม่สามารถที่จะสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ได้หรอกครับ เพราะปัญหาของประเทศมีเพียงข้อเดียว นั่นคือ “ความยุติธรรม”เท่านั้นที่จะแก้ได้
ถ้าเรายังไม่มีความเท่าเทียมกัน ถ้าเรายังบังคับใช้กฎหมายไม่เท่ากัน และเรายังเลือกใช้ความยุติธรรมกับคนเพียงบางกลุ่มแล้วไซร้ ชาติหน้าเรายังไม่มีความปรองดองอย่างแน่นอน เชื่อผมเถอะครับ
วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554
17... ก่อน"รัฐประหาร"ยุคนายกฯทักษิณ ไทยเราคือเสือตัวที่4
ก่อน"รัฐประหาร"ยุคนายกฯทักษิณ ไทยเราคือเสือตัวที่4...
หลัง"รัฐประหาร"ยุคอั้ยมาร์ค ไทยกลายเป็นหมาขี้เรื้อนตัวแรก ที่ประเทศเพื่อนบ้านถุยน้ำลายใส่เมื่อเอ่ยชื่อ!!!
By: ลุงจุกคนเสื้อแดง ราษฎรเต็มขั้น
สมัยนั้น(ยุคนายกฯทักษิณ)"ใคร ใคร่ค้า ค้า" ประชาชนหน้าตาสดใส โจรผู้ร้ายหดหาย เพราะคนมีงานทำ ยาเสพติดหมดไปเพราะ"ประกาศสงครามกับยาเสพติด"คืนลูกหลานสู่ครอบครัว
เด็กอยากเรียนต้องได้เรียน มีทุนจากหวยใต้ดินที่เอามาไว้บนดินส่งไปเรียนสูงๆยังต่างประเทศ...
การส่งออกสินค้า ที่ผลิตในไทยแทบทุกอย่างไม่พอขาย เช่นข้าว ถึงกับรับเอาข้าวเวียดนามและเขมรมาช่วยขาย (ปัจจุบัน ของไทยเอง ราคาตกจนชาวนาต้องปิดถนนประท้วง) เพราะราคาต่อตันในสมัยนั้นชาวนาได้ถึง1,800/ตัน (สมัยนี้ต้องออกมาเรียกร้องปิดถนนถึงได้1,100/ตัน)
ยางพารา จากที่ราคาตกต่ำมาทั้งชาติ นายกฯทักษิณก็แก้ปัญหา โดยตั้งบริษัทร่วม3ประเทศผู้ผลิต ไทยมาเลย์และอินโด เพื่อตั้งราคาขายเดียวกัน จนราคาติดสูงลิ่ว
สินค้าพื้นบ้าน นายกฯทักษิณก็นำมาเพิ่มมูลค่าปรับปรุง จนเป็นOTOP โด่งดังขายดีไปทั่วโลก ชาวบ้านมีเงิน มีงาน โรงงานผลิตของขายได้เพิ่มก็จ้างงานเพิ่ม...รัฐได้ภาษีเพิ่มมาบริหารประเทศ...
นายกฯทักษิณหาเงินจากการทำงานอย่างหนักของรัฐบาล ผิดกับสมัยนี้หาเงินมาใช้โดยการกู้ กู้ และก็กู้...
ประเทศไทยถูกต่างชาติมองว่าจะเป็นเสือตัวที่4ของเอเซีย ด้วยฝีมือการบริหารประเทศของนายกฯทักษิณ...เป็นที่ศึกษาดูงานของหลายๆประเทศทั่วโลก
อนิจจา...ประเทศไทยแม่ม...กลัวคนดี/คนเก่งมาแย่งความรัก มาทำให้คนไทยอยู่ดีมีความสุข"กินอิ่ม นอนอุ่น"
กลัวคนไทยส่งลูกเรียนสูงๆ มีความรู้ จะได้รู้ทันพวกมันว่า ที่พวกเขามีเงิน มีความรู้เพราะหยาดเหงื่อ แรงงานพวกเขา ไม่ใช่เพราะเทวดาหน้าไหนเลย
นายกฯทักษิณจึงถูกไล่...ด้วยการทำ"รัฐประหาร" หลังจากนั้นประเทศไทยก็ร่วงโรย คนตกงานนับล้าน โรงงานปิดนับหมื่นแห่ง สินค้าแพงขึ้นทุกอย่าง
เป็นศัตรูกับเพื่อนบ้านและทุกประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับมัน
จากเสือตัวที่4 จนกลายเป็นหมาขี้เรื้อนตัวแรก...ที่ประเทศเหล่านั้น ถุยน้ำลายใส่อย่างเย้ยหยัน...
สะใจไหมว่ะ อั้ยพวกปล้นอำนาจประชาชนทั้งหลาย
วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554
16... 2ปีกว่า ที่โกหก
2 ปีกว่า ที่โกหก
วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2554 9:15 น.
By: http://www.bangkok-today.com/node/8485
ผลงานทุกอย่างเป็นแค่ประติมากรรมน้ำลาย
คนไทยเดือดร้อนหนัก,,,ของแพงสินค้าขาด
หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยา 2549 ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพเดินหน้าไม่ได้ ทุกอย่างมีปัญหาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมือง เรื่องของประชาธิปไตย เรื่องของการแตกต่างทางความคิด สร้างความวุ่นวายให้กับประเทศอย่างหนักมาโดยตลอด
แม้แต่กระทั่งเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องของปากท้องประชาชน ซึ่งก่อนหน้าการทำรัฐประหารกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี เศรษฐกิจไทยกำลังโงหัวขึ้นมาหลังจากที่บอบช้ำเพราะการแก้ปัญหาแบบผิดๆ ด้วยการทำตามคำสั่งของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟอย่างเคร่งครัดของรัฐบาลชวน หลีกภัย แห่งพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งผลจากการเป็นเด็กดีให้กับไอเอ็มเอฟ ผลจากการขายทรัพย์สินโดยฝีมือของ ปรส. ภายใต้การตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ภายใต้การไฟเขียวและหนุนหลังอย่างเต็มที่ของนายชวน ทำให้เศรษฐกิจไทยยิ่งดิ่งเหว
แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าอย่างหลวงตามหาบัว ผู้ซึ่งพึ่งจะมรณภาพไปเมื่อไม่นานนี้ ก็ยังต้องมาวุ่นวายกับเรื่องทางโลกด้วยการออกมาเป็นแกนนำในการทอดผ้าป่าหาทองคำไปช่วยชาติ
กว่าเศรษฐกิจของไทยจะเริ่มโงหัวได้ก็ต้องใช้เวลาหลายปี แต่สุดท้ายก็ต้องมาเบรกลงด้วยการทำรัฐประหารของ คมช. ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหาอะไรให้กับบ้านเมืองเลยซักนิด มีแต่จะซ้ำเติมทุกอย่างให้เลวร้ายลง
ที่สำคัญรัฐบาลหลัง 19 กันยา 49 ล้วนขาดเสถียรภาพเพราะปัญหาการเมืองไม่จบ
จนสุดท้ายเมื่อกลุ่มอำนาจพิเศษผนึกกำลังกับกลุ่มทหารพลิกเกมประชาธิปไตยที่แท้จริง ผลักดันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี และให้พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ในแง่ของเกมการเมืองอาจจะดูเหมือนว่าสามารถตรึงสถานการณ์ให้อยู่ภายใต้อำนาจที่หนุนหลังนายอภิสิทธ์ได้
แต่ในความเป็นจริง ปัญหาการคิดต่างยังไม่เคยหมดสิ้นไป... ขนาดที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เลือกใช้วิธีการสลายการชุมนุมของประชาชนจนกระทั่งมีคนตาย 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 2 พันคน ก็ไม่ได้ทำให้ความคิดต่างและการเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงหยุดยั้งลงได้
การสลายการชุมนุมของประชาชนด้วยกองกำลังทางทหารทำให้เพียงแค่สร้างบทเรียน ให้ประชาชนต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการต่อสู้ทางการเมืองเท่านั้น
ในขณะที่รัฐบาลเองก็รู้ดีว่านับวันกระแสการโหนทหารและกลุ่มอำนาจพิเศษเพื่อขึ้นมาเป็นรัฐบาลนั้นมีแต่จะถูกโจมตีและขุดคุ้ยมากขึ้นเรื่อยๆ จึงถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลในขณะนี้
ครั้นจะสร้างผลงานขึ้นมาเพื่อสร้างคะแนนนิยม และสร้างภาพลักษณ์ให้กับรัฐบาลก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะเอาเข้าจริงๆรัฐบาลของนายอภิสิทธ์ ไล่ลงมาตั้งแต่ตัวนายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี ไปจนถึงรัฐมนตรีทุกคนไม่ได้มีฝีมือที่แท้จริงในการที่จะแก้ปัญหาของชาติและกอบกู้ภาวะเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้เลย
สิ่งที่ทำได้เป็นที่กระฉ่อนฉาวและพูดกันทั้งประเทศก็คือ ผลงานในเรื่องทุจริต คอร์รัปชั่นที่อื้อฉาวเป็นอย่างมาก มากเสียยิ่งกว่าสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ คมช.อ้างว่ามีการทุจริตมากจนต้องทำรัฐประหารด้วยซ้ำ
นโยบายขายฝัน 99 วันทำได้จริงของพรรคประชาธิปัตย์ จนถึงวันนี้ยังเป็นแค่เพียงประติมากรรมน้ำลาย ที่ประชาชนไม่สามารถจับต้องได้
ยิ่งนโยบาย “ประชาชนต้องมาก่อน” ยิ่งเห็นชัดเจนว่าระยะเวลา 2 ปีกว่าในการเป็นรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ สิ่งที่ประชาชนได้รับกลายเป็นความเดือดร้อนไปหมดทุกเรื่อง
อย่างเรื่องกรณีน้ำมันปาล์ม คำตอบของนโยบายประชาชนต้องมาก่อนก็คือ ประชาชนต้องแห่มาเข้าคิวซื้อน้ำมันปาล์มก่อนใคร เพราะถ้ามาช้าก็ไม่ได้น้ำมันไปใช้
ทั้งๆที่สต๊อกของน้ำมันปาล์มซึ่งปกติจะต้องมีการรักษาไว้ให้อยู่ในระดับ 2 แสนตันอยู่ตลอดเวลา แต่ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2553 เป็นต้นมา กลับมีไอ้โม่งเข้ามาทำให้สต๊อกน้ำมันปาล์มลดลงไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการนำเข้ามาทดแทน กระทั่งน้ำมันในสต๊อกหมดเกลี้ยง ปัญหาจึงปะทุขึ้นมาอย่างหนักในช่วงกุมภาพันธ์ 54
เป็นความเดือนร้อนของประชาชนท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีการสวาปามน้ำมันปาล์มกันจนปากมันแผล็บ
จนถึงวันนี้ราคาคุยที่ว่าปัญหาน้ำมันปาล์มจะจบสิ้นลงภายในวันเดียวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ยังเป็นปัญหาอยู่
ซ้ำยังเกิดกรณีอเนจอนาถใจกับการหาแพะไล่จับปลาซิวปลาสร้อยของรัฐบาลชุดนี้ โดยบางคนไปซื้อน้ำมันปาล์มในราคาขายตามกำหนดคือขวดละ 47 บาท เอามาวางขายในราคาแค่ขวดละ 49 บาท
ซึ่งในแง่ผู้บริโภคแล้วหลายคนเต็มใจที่จะซื้อในราคา 49 บาท ดีกว่าที่จะตระเวนขับรถไปหาซื้อตามจุดธงฟ้า หรือหาซื้อตามห้าง เพราะคิดแค่ขึ้นรถเมล์ต่อเดียว ไปกลับก็ 14-16 บาทแล้ว ฉะนั้นซื้อในราคา 49 บาทย่อมถูกกว่าไปหาซื้อเองมากมาย
แต่คนขายซึ่งได้กำไรแค่ขวดละ 2 บาทวันหนึ่งขายได้ 10 หรือ 20 ขวดมีกำไรแค่ 20-40 บาทเพื่อจะเอามาเลี้ยงครอบครัว กลับโดนตำรวจโดนกรมการค้าภายในจับกุม
ปัญหาประชาชนต้องมาก่อน ต้องเดือดร้อนก่อนไม่ได้หยุดยั้งแค่เพียงเรื่องของน้ำมันปาล์ม ขณะนี้ได้ลามไปสู่ปัญหาน้ำตาลทรายขาดแคลนต้องเข้าคิวซื้อ ต้องซื้อปันส่วนแบบจำกัดจำนวน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตลกอย่างยิ่งในสายตาของชาวโลก เพราะไม่เพียงประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ปลูกปาล์มน้ำมัน ปลูกอ้อยได้เป็นอย่างดี ประเทศไทยยังประกาศตัวเป็นครัวของโลก แต่ก้นครัวกลับไม่มีน้ำมันปาล์ม ไม่มีน้ำตาลใช้
เป็นความล้มเหลวอย่างมากถึงมากที่สุด ที่ประจานผลงานและฝีมือการบริหารของรัฐบาลนี้ได้เป็นอย่างดี
ฝีมือบริหารที่สร้างความเดือดร้อนขาดแคลนให้กับประชาชนอย่างหนัก ไม่ได้มีเพียงแค่สินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น แม้แต่บัตรประชาชน รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ยังบริหารจนขาดแคลนได้
ประชาชนคนไทยต้องย้อนยุคกลับไปใช้ใบเหลือง ต้องไปต่อใบเหลืองหลายรอบจนใบเหลืองแทบขาดวิ่น นี่คือผลงานของรัฐบาลที่ประกาศว่าประชาชนต้องมาก่อน
ซึ่งปัญหาบัตรประชาชนขาดแคลนก็ไม่ต่างจากปัญหาสินค้าขาดแคลน คือยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นฉาวคาวทุจริตเหมือนกันไม่มีผิด!!!
ความไม่มีฝีมือของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์แม้แต่คิดจะลอกเลียนแบบนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยมาใช้ก็ยังทำตัวเป็นอีแอบถึงขนาดใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนกว่า 69 ล้านบาทให้บริษัทต่างชาติมาช่วยคิดโครงการประชาวิวัฒน์ให้ โดยผลงานชิ้นเอกคือการให้ขายไข่เป็นกิโล???
โดนด่าทั้งเมืองว่าแค่คิดวิธีการชั่งไข่ขายเป็นกิโลยังต้องให้ฝรั่งคิดให้ มันน่าอเนจอนาถใจยิ่งนัก
และอีกปัญหาใหญ่ที่กำลังตั้งเค้าส่อมรสุมคือเรื่องของราคาน้ำมัน ที่กำลังจะสร้างปัญหาอย่างหนักให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ เพราะวันนี้ราคาน้ำมันเบนซินได้ขึ้นไปสูงถึงลิตรละ 42 บาทแล้ว!!!
ทั้งต้นทุนค่าขนส่ง ทั้งค่าใช้จ่ายในการครองชีพของคนไทยพุ่งพรวดเห็นๆ
จากประชาชนต้องมาก่อน...กลับกลายเป็นประชาชนต้องเดือดร้อนก่อน อย่างชัดเจนที่สุด
แม้แต่เรื่องนโยบายเรียนฟรี 15 ปีซึ่งเป็นเรื่องเดียวที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามอวดอ้างว่าเป็นผลงานทีประสบความสำเร็จและจับต้องได้มากที่สุดนั้น จนวันนี้ประชาชนทั้งประเทศก็ยังงุนงงสงสัยว่าประชาธิปัตย์ละเมอเพ้อพกอยู่ได้อย่างไร
ผู้ปกครองทั่วประเทศไม่ว่าโรงเรียนรัฐหรือโรงเรียนเอกชนยังคงต้องจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกหลานกันทุกคน สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างว่าเรียนฟรีคือ การให้เศษเงินมาซื้อชุดนักเรียน 1 ชุดเท่านั้น
ส่วนหนังสือเรียนที่บอกว่าไม่ต้องซื้อแต่ให้ใช้ระบบยืมเรียน แล้วโมเมว่าเป็นการเรียนฟรีนั้นก็อยู่ในสภาพเก่าชำรุดจนบางโรงเรียนทนไม่ไหวต้องหาทางระดมทรัพยากรหรือกระเบียดกระเสียรหางบประมาณมาซื้อหนังสือเรียนให้แทน
นี่หรือคือสิ่งที่ใช้ภาษีของประชาชนขึ้นป้ายคัทเอ้าท์อวดหราว่าคนไทยได้เรียนฟรี 15 ปี
ระยะเวลากว่า 2 ปีที่พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาเป็นรัฐบาลล้วนแล้วแต่ตลบอบอวลไปด้วยคำโกหกพกลมไปวันๆ จนทำให้รัฐบาลชุดนี้ถูกโจมตีในเรื่องการสร้างประติมากรรมน้ำลายอย่างต่อเนื่อง
แม้แต่ม็อบพันธมิตรซึ่งเคยอุ้มชูสนับสนุนให้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล วันนี้นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำของม็อบพันธมิตรยังกลับลำมาบอกว่า นายอภิสิทธิ์เป็นคนที่โกหกพกลมมาตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว
จริงๆ แล้วในอดีตนายอภิสิทธิ์ถือเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่น่าจะมีความสามารถ น่าจะมีอนาคตทางการเมืองที่ดี เพราะมีพื้นฐานการศึกษาที่ดี แต่กลับกลายเป็นว่าพื้นฐานการศึกษาที่นายอภิสิทธิ์มี ไม่สามารถช่วยอะไรนายอภิสิทธิ์ได้เลย
นายอภิสิทธิ์เปรียบเหมือนคนที่รู้ธรรมะอย่างมากมาย สามารถเขียนธรรมะเป็นตำราได้เป็นเล่มๆได้อย่างสบาย
แต่ในทางปฏิบัตินายอภิสิทธิ์กลับไม่สามารถทำได้ แม้แต่ธรรมะง่ายๆ
ในเรื่องของศีล 5
การสลายการชุมนุมจนมีคนตาย 91 ราย เป็นสิ่งที่เข้าข่าย ศีลข้อที่ 1
การทุจริตคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นมากมาย เป็นสิ่งที่เข้าข่าย ศีลข้อที่ 2
ส่วนศีลข้อที่ 3 กาเมสุมิจฉานั้น หลายคนคงต้องไปตีความว่าพฤติกรรมที่ฝรั่งเรียกว่า“Closet”นั้นเป็นสิ่งที่เข้าข่ายศีลข้อ 3 หรือไม่!?!
และใครบ้างเป็นคนกระทำ??? ซึ่งนายอภิสิทธิ์น่าจะรู้ดีที่สุด
สำหรับศีลข้อ 4 ประติมากรรมน้ำลายทั้งหลายก็เป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ส่วนศีลข้อ 5 พฤติการณ์รัฐบาลลูกจ้างโรงเหล้า สะท้อนได้เป็นอย่างดีว่ารัฐบาลนี้ปล่อยให้นายทุนโรงเหล้ามอมเมาประชาชนมากเพียงใด
วันนี้แม้แต่ประเทศในตะวันออกกลางรัฐบาลที่กุมอำนาจมายาวนานเป็น 30-40 ปีก็กำลังถูกพลังประชาชนออกมาขับไล่ ไม่รู้เหมือนกันว่าภาพบทเรียนเหล่านั้นจะทำให้รัฐบาลภายใต้กลุ่มอำนาจพิเศษและทหารที่อุ้มชูจะฉุกใจคิดกันบ้างหรือไม่ว่า
โกหกบางคนหรือโกหกบางครั้งนั้นอาจะทำได้ก็จริง...
แต่การโกหกทุกคน โกหกทุกครั้ง ไม่มีวันปิดบังความจริงได้แน่นอน!!!
วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554
15... วิธีพูด วิธีคิด และวิธีทำ
วิธีพูด วิธีคิด และวิธีทำ
By: ทวดเอง
ตู่ถาม: “ผมถามท่านสั้นๆ ท่านสละสัญชาติอังกฤษแล้วหรือยัง”
มาร์คตอบ: “ผมไม่เคยปิดบังอะไรนะครับ ผมเกิดประเทศอังกฤษ บลา บลา บลา”
ตู่ถาม: “ผมถามท่านสั้นๆ ท่านสละสัญชาติอังกฤษแล้วหรือยัง”
มาร์คตอบ: “พ่อแม่ผมเป็นคนไทย พ่อแม่ผมเป็นคนไปแจ้งเกิด บลา บลา บลา”
ตู่ถาม: “ผมถามท่านสั้นๆ ท่านสละสัญชาติอังกฤษแล้วหรือยัง”
มาร์คตอบ: “ผมเกิดที่อังกฤษ คุณพ่อคุณแม่ผมก็ไปแจ้ง และก็ระบุชัดเจนว่าผมเป็นสัญชาติไทย บลา บลา บลา”
ตู่ถาม: “ผมถามท่านสั้นๆ ท่านสละสัญชาติอังกฤษแล้วหรือยัง”
มาร์คตอบ: “ท่านก็ไม่ได้สงสัยว่าผมถือชาติไทย เพียงแต่ท่านสงสัยว่าผมถือสัญชาติอังกฤษหรือไม่ บลา บลา บลา”
ตู่ถาม: “ผมถามท่านสั้นๆ ท่านสละสัญชาติอังกฤษแล้วหรือยัง”
มาร์คตอบ: “ด้วยเหตุผลที่ว่า กฎหมายสัญชาติ ถ้าขัดกัน ให้ถือกฎหมายของไทย บลา บลา บลา”
ตู่ถาม: “ผมถามท่านสั้นๆ ท่านสละสัญชาติอังกฤษแล้วหรือยัง”
มาร์คตอบ: “ผมเรียนหนังสือที่อังกฤษ ถ้าผมอยากได้ประโยชน์ ผมไม่ต้องเสียค่าเรียน บลา บลา บลา”
ตู่ถาม: “ผมถามท่านสั้นๆ ท่านสละสัญชาติอังกฤษแล้วหรือยัง”
มาร์คตอบ: “ทุกวันนี้ผมเข้าประเทศอังกฤษ ผมก็ขอวีซ่า เจตนาก็ชัดว่าผมต้องการถือสัญชาติไทย บลา บลา บลา”
ตู่ถาม: “ผมถามท่านสั้นๆ ท่านสละสัญชาติอังกฤษแล้วหรือยัง”
มาร์คตอบ: “อยากให้ผมสละ ผมก็สละได้ครับ บลา บลา บลา”
ตู่ถาม: “ผมถามท่านสั้นๆ ท่านสละสัญชาติอังกฤษแล้วหรือยัง”
มาร์คตอบ: “แต่ผมก็ได้สอบถามไปที่ กกต. ก็ได้รับคำตอบว่ามันไม่ผิดกฎหมาย บลา บลา บลา”
ตู่ถาม: “ผมถามท่านสั้นๆ ท่านสละสัญชาติอังกฤษแล้วหรือยัง”
มาร์คตอบ: “แต่ถ้าท่านอยากให้ผมสละ ผมก็ยินดีครับ แต่ว่าทุกคนต้องทำอย่างเท่าเทียมกัน บลา บลา บลา”
ตู่ถาม: “ผมถามท่านสั้นๆ ท่านสละสัญชาติอังกฤษแล้วหรือยัง”
มาร์คตอบ: “ผมยอมรับครับว่า ผมยังไม่ได้ทำเรื่องสละสัญชาติ ขอบคุณครับ”
เฮ้อ....เหนื่อยจังเลยนะครับกว่าจะรู้คำตอบกับคำถามเพียงสั้นๆ แต่ท่านคงลืมไปแล้วสินะว่าตัวเองตนนี้มีตำแหน่งถึงนายกฯ ดังนั้นคำพูดของท่านล้วนแต่ต้องสร้างความเชื่อถือให้กับคนทั้งประเทศ แต่ท่านกลับตอบปัญหาสั้นๆด้วยความวกวนอย่างนี้ มีแต่จะสร้างความสับสนให้กับประชาชน ไม่ได้ทำให้ท่านดูดีขึ้นหรอกครับ และอีกอย่างท่านคงลืมไปแล้วนะครับที่ท่านเคยบอกว่า นักการเมืองต้องมีจิตสำนึกมากกว่าคนปกติธรรมดา ยิ่งเป็นถึงผู้นำประเทศ จะไปทำอย่างเดียวกับประชาชนได้อย่างไรครับ เพราะนี่มันเกี่ยวกับจริยธรรมด้วยนะครับ
* * * * *
นักข่าวถาม: “ท่านคะ ตอนนี้ประชาชนกำลังเดือดร้อนเรื่องค่าครองชีพ เพราะสินค้าขึ้นราคามากมายเลยนะคะ”
มาร์คตอบ: “ ตอนนี้ทั่วโลกก็ราคาสินค้าแพงกันหมด อีกอย่างหนึ่งเราปรับค่าแรงขั้นต่ำ สินค้าก็ต้องขึ้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ทุกครั้งก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วนี่ครับ”
นักข่าวถาม: “แล้วท่านมีวิธีทำอย่างไรครับที่จะช่วยเหลือคนจน”
มาร์คตอบ: “ผมก็จะขึ้นขั้นแรงขั้นต่ำให้กับคนจนอีกรอบครับ”
แหมท่านก็ การแก้ปัญหาแบบนี้ มันก็เป็นการแก้แบบงูกินหางสิครับ ปรับค่าแรง สินค้าขึ้นราคา ก็มาปรับค่าแรงใหม่ สินค้าก็เพิ่มใหม่ ผมว่าท่านน่าจะมีความคิดที่ดีกว่านี้นะครับ เพราะถ้าแก้ปัญหาแบบนี้ หึ หึ ผมว่าผมก็เป็นนายกฯได้เหมือนกันนะครับ อิอิ
* * * * *
นักข่าวถาม: “ท่านครับ ตอนนี้น้ำมันแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่านยังจะตรึงน้ำมันดีเซลอยู่ที่ไม่เกิน 30 บาทอีกหรือเปล่าครับ”
มาร์คตอบ: “ผมว่ายังจำเป็นอยู่ครับ เพราะทางรัฐไม่ต้องการเพิ่มต้นทุนจากการขนส่ง เป็นเหตุให้สินค้าขึ้นราคา”
อุ๊ยตาย...ว้ายกรี๊ด อะไรกันนี่ จนป่านนี้ท่านยังไม่รู้อีกหรือครับว่า ราคาสินค้ามันขึ้นไปถึงไหนแล้ว ถ้าท่านไม่บิดเบือนราคา ป่านนี้สินค้าก็คงขึ้นจนหมดข้ออ้าง แต่ถ้าวันใดท่านปล่อยให้น้ำมันเป็นไปตามกลไกตลาด สินค้าต่างๆมิต้องใช้ข้ออ้างนี้ขึ้นราคาอีกรอบหรือครับท่าน วิธีการทำของท่านจึงเป็นเพียงการหาเสียง แต่เป็นการหาเสียงจากการนำเงินของคนใช้น้ำมันเบนซินไปอุ้มคนใช้ดีเซล แบบนี้ท่านยังคิดอีกหรือครับว่า เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นเรื่องยุติธรรมแล้วหรือครับท่าน
สุดท้าย...ก็อยากบอกท่านด้วยความรักและห่วงใยว่า วิธีพูด วิธีคิด และวิธีทำของท่านล้วนแต่ไม่ได้กระทำในฐานะของนายกฯของประเทศเลยนะครับ เป็นการพูด การคิด และการทำแบบหัวหน้าพรรคการเมืองต่างหาก ดังนั้นขอเสียทีเถอะครับ เมื่อท่านยังไม่พร้อมจะเป็นผู้นำประเทศ ก็กรุณาลงมาเถิดครับ อย่าทำให้ประเทศเสียหายมากไปกว่านี้เลยครับ เพราะเพียงแค่ 2 ปี ท่านก็ทำให้ประเทศถอยหลังไปเสียทุกด้าน กลับไปหากินกับการใช้คำพูดของท่าน ผมว่าจะเวิร์คกว่านา เชื่อผมเถอะ!!!
แม่: ลูกเอาไข่(เป็ด)ไปใส่ตู้เย็นที
ลูก: หนูไม่ชอบเอาไข่ใส่ตู้เย็นเลย เวลาทอดแล้วมันติดกระทะ
แม่: ไข่นี่เขาล้างแล้ว ไว้ข้างนอกนานไม่ได้เดี๋ยวเสีย
ลูก: งั้นเอาไปฝังดินได้มั๊ย แต่อย่าเลยแม่ ไข่ชั่งกิโล ฝังดินแล้วเดี๋ยวฟักออกมาเป็นตัวเอี้ย...
แม่: ????
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)